ปราสาทหินพนมวัน

ปราสาทหินพนมวัน




ปราสาทหินพนมวัน เป็นสถาปัตยกรรมในคติความเชื่อของเขมรโบราณ อยู่ห่างจากตัวเมืองโคราชไปตามเส้นทางถนนหลวงไปยังอำเภอพิมาย - ขอนแก่น ประมาณ 16  กิโลเมตร เมื่อติดแยกไฟแดงหนึ่งจะมีป้ายบอกทางเข้า ทางขวามือ มีลานอเนกประสงค์ขององค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นจุดสังเกต เข้าไปอีกประมาณ กิโลเมตร ก็จะมาสุดทางที่ตัวปราสาทหินพอดี
       ปราสาทหินพนมวัน เป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ของประเทศไทย สร้างขึ้นครั้งแรกในราวพุทธศตวรรษที่ 15 ในสมัยแกะแกร์ - บาแค็ง เป็นปรางค์ หลัง แล้วมาถูกสร้างทับในยุคใกล้เคียงกันอีก รวมเป็นอาคารอิฐทั้งหมด 10 หลัง
       ทางด้านทิศตะวันออกมี บาราย หรือสระน้ำขนาดใหญ่ประจำชุมชน เรียกว่า "สระเพลง"  ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงใช้ประโยชน์ได้อยู่ครับ
       ในเขตที่ดอนของเมือง เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะบังเอิญในตอนขุดค้นเมื่อประมาณปี 2533 ก็ดันไปพบกับโครงกระดูกมนุษย์ใต้ฐานปราสาทประธาน ที่มีร่องรอยของพิธีกรรมการฝังศพแบบตั้งใจฝัง ไม่ใช่การฆาตกรรม ซึ่งคงไม่มีใครไปตามจับฆาตกร เพราะคงตายไปนานแล้วเหมือนกัน
        โครงกระดูกประมาณว่าอายุในราว 2,000 – 2,500 ปี โดยดูจากภาชนะขัดมันดำที่เขาเรียกกันอย่างกิ๋บเก๋ว่า ภาชนะแบบพิมายดำ ที่ถูกนำมาฝังรวมอยู่กับศพตามความเชื่อ เพื่อให้ผู้ตายนำเอาไปใช้ในโลกหน้า
        ชุมชนโบราณพนมวันมีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อไปยังลำน้ำขนาดใหญ่มานานแล้ว แต่ปัจจุบันขนาดของลำน้ำก็ลงไปมาก ลำน้ำนี้แหละคือถนนมิตรภาพโบราณที่เชื่อมชุมชนเมืองพนมวันกับชุมชนเมืองพิมายเข้าด้วยกัน
        ชุมชนเมืองพนมวันเปลี่ยนแปลงไปหลายยุคหลายสมัย เพราะมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายครั้ง คงเป็นเพราะเมืองพนมวันเป็นที่ดอน ตั้งอยู่กลางไร่นาน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ
        จนมาถึงในราวพุทธศตวรรษที่ 16 จึงเริ่มมีการสร้างปราสาทแบบหินทรายขึ้น  ซ้อนทับไปบนจุดเดิมที่เคยมีอาคารอิฐตั้งอยู่ในสมัยก่อนหน้า คงเพราะเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ยหรือยันตรมณฑลเป็นมงคล จึงไม่ยอมย้ายที่ไปสร้างจุดอื่น อิฐของปราสาทเก่าได้กลายมาเป็นส่วนประกอบของปราสาทหลังใหม่ บางส่วนก็สร้างทับไปเลย
       แผนผังของปราสาทหินพนมวันมีรูปแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย จึงน่าจะสร้างในยุคไล่เลี่ยกันคือในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ในศิลปะร่วมแบบบาปวน
       ตอนที่ผมเดินทางไปปราสาทหินพนมวันในครั้งแรก ตอนนั้นเด็กมาก ๆ ปราสาทหินพนมวันถือเป็นปราสาทหินองค์แรกที่ได้สัมผัสในชีวิต ก็ให้ตกใจ เพราะสิ่งที่เห็นคือซากปรักหักพัง ที่มีก้อนหินทรายขนาดใหญ่พังทลายกระจัดกระจาย ระเกะระกะ ปราสาทประธานไม่มียอด มีซากของลวดลายแกะสลักที่สวยงามกระจัดกระจายไปทั่ว รวมทั้งรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร รูปพระพุทรูปและเทวรูป ผมยังเก็บชิ้นส่วนปะติมากรรมรูปมือที่แตกหักกระจายในซากกองหินขนาดใหญ่ มาเล่นและก็โยนทิ้งไว้ที่เดิมตอนเดินทางกลับ
       แต่ในวันนี้สิ่งที่ผมเคยเห็นหายไปหมดแล้วครับ เศษละอันพันละน้อยของรูปสลักมากมาย พระพุทธรูปศิลปะบายน รวมทั้งเศียรพระพุทธรูปก็โดยตัดหายไปหมด !!!  
      รูปแบบของปราสาทประธาน เป็นแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย  แต่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ3  เท่า  มีจารึกที่เสาประตูทางทิศใต้ เท่าที่อ่านได้ ก็เป็นชื่อของพระเจ้าชัยวรมันที่ ที่สร้างเทวาลัยถวายแด่เทพเจ้า แต่ก็ไม่ชัดว่าถวายบูชาเทพเจ้าองค์ใด
       ห่างไปประมาณ 300 เมตรทางทิศตะวันออก มีร่องรอยของฐานอาคาร ที่มีการจัดวางหินศิลาแลงกรุเป็นผนังอย่างสวยงาม มีซุ้มประตูสลักหินทรายขนาดเล็กอยู่ ด้าน เรียกกันแต่เดิมว่า เนินนางอรพิมพ์ หรือ  เนินอรพิม ตามนิทานเรื่องพระเจ้าพรหมทัตและนางอรพิม อันเป็นที่มาของชื่อเมืองพิมาย ที่เล่าว่ามาจากคำอุทานของนางอรพิมว่า พี่มาแล้ว
      เมื่อมีการขุดแต่งฐานอาคารดังกล่าว ก็ให้แปลกใจ เพราะเป็นฐานอาคารที่มีระเบียบแบบแผน มีการแกะสลักฐานศิลาแลงสวยงามและสมบูรณ์ มีซุ้มประตูที่รูปสลักหินทรายแดงประดับประตูสวยงามทั้ง 4ด้าน แต่ก็แตกหักสูญหายไปมาก
        ผมเชื่อว่า เนินอรพิม น่าจะเป็นอาคาร พลับพลาลงสรง ในรูปแบบพิเศษที่ไม่เคยพบในที่อื่น ๆ ของประเทศไทย ด้านบนเป็นอาคารไม้ มีบ่อน้ำวนล้อมรอบทั้ง ด้าน โดยผันน้ำมาจากบารายสระเพลงที่อยู่ใกล้ ๆ  ใช้เป็นเรือนสำหรับรับรองเจ้านายหรือเป็นวังของผู้ปกครองเมืองพนมวัน แล้วก็เป็นพลับพลาพระตำหนักรับเสด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ หรือผู้แทนพระองค์ที่น่าจะเดินทางมาถึงปราสาทพนมวันในยุคพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อถวายพระพุทธรูปพระชัยพุทธมหานาถ
        คงเพราะเนินอรพิมมีรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่ดูทันสมัย แตกต่างไปจากปราสาทหินพนมวันที่ดูทรุดโทรมกระมังครับ จึงดูน่าจะเป็นสถานที่ที่ใช้เพื่อกษัตริย์มากกว่าเป็นเทวาลัยแห่งเทพเจ้า
       ผมไม่รู้ว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ มีประวัติอย่างไรบ้าง แต่ปราสาทที่มีชื่อของพระองค์จารึกอยู่นี้ กลับมีร่องรอยของการสร้างไม่เสร็จอย่างรุนแรงปรากฏไปทั่วปราสาท !!!
       ขั้นตอนในการสร้างปราสาทพนมวัน คงเริ่มต้นจากการรื้ออาคารอิฐในยุคก่อนหน้าออกไปพร้อม ๆ กับการสร้างใหม่ ชุมชนก็คงมาตั้งอยู่ใกล้กับบาราย ส่วนครัวเรือนของเหล่าช่างแขนงต่าง ๆ ก็น่าจะมาตั้งบ้านเรือนใกล้กับสถานที่ก่อสร้าง เพราะปรากฏร่องรอยของเตาเผาภาชนะดินเผาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
    การก่อสร้างคงยากลำบากไม่น้อยเพราะแถบนี้ไม่มีภูเขาหินทราย จึงต้องไปเอาหินทรายมาจากที่ไกลแล้วขนมา จึงใช้หินทรายแดงที่มีคุณภาพต่ำผสมกับหินทรายสีขาวเทาเพราะแหล่งวัตถุดิบที่ใกล้สุดมีหินทรายทั้งสองสีผสมกัน ช่างคงแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่เป็นแรงงานในการขนย้ายหินมาจากภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนที่ประกอบหิน ส่วนที่ขัดผิวหน้าโกลนหิน ส่วนช่างแกะสลักลวดลายส่วนเช่น หน้าบัน ทับหลัง เชิงชาย เสาลายลูกมะหวด ฯลฯ
        รากฐานของปราสาทจะอัดทรายแล้วปูพื้นด้วยศิลาแลงชั้นหนึ่ง แล้วนำหินทรายสีขาวเทาที่มีความแข็งแรงมาเป็นฐานชั้นบน
         ช่างในส่วนที่ทำระเบียงคดและโคปุระ ก็ได้ขึ้นเสาหน้าต่าง เจารูเสาเป็นเดือยเพื่อเตรียมใส่เสาลายลูกมะหวด แต่ก็ยังใส่ไม่หมด เพราะในส่วนหลังคายังไม่ได้สร้างขึ้นไป
       การก่อสร้างดูสะเปะสะปะ หินทรายใหญ่เล็กคนละสีก็มาเรียงกันสลับไปมาเป็นผนังได้ในทางทิศใต้ แต่ในส่วนอื่น ๆ กลับก่อผนังระเบียงได้เพียงบางส่วน
      ปราสาทประธานก็มีร่องรอยการแกะสลักเสาขอบประตู เป็นลายก้านต่อดอกในหลายจุด แกะสลักทับหลังได้เพียงสองถึงสามชิ้นเท่านั้น เรือนยอดปราสาทก็น่าจะก่อขึ้นไปจนสำเร็จจนถึงบัวกลุ่มยอดปราสาท ส่วนฐานก็มีการขัดโกลนหินให้ผิวหน้าเสมอกันเพื่อเตรียมแกะสลักเป็นฐานเขียง
       หลังการสร้างไม่นานส่วนเรือนปราสาทประธานคงพังถล่มลงมา หลังจากนั้นจึงมีการสร้างปรางค์น้อยที่นำวัสดุของปราสาทประธานที่พังลงมานั่นแหละเอามาทำ  แล้วจึงมีการนำพระพุทธบาทหินทรายแดงมาประดิษฐานไว้ในสมัยต่อมา
       พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หรือผู้แทนพระองค์ก็น่าจะเสด็จมาที่พนมวันสักครั้งหนึ่ง จึงเกิดการสร้างพลับพลาชัยวรมันที่เนินนางอรพิมขึ้น แล้วจึงถวายพระชัยพุทธมหานาถและพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์อโลเกศวรองค์ต่าง ๆ ของนิกายวัชรยานตันตระไว่ในตัวปราสาทที่ทิ้งร้างและสร้างไม่เสร็จมาในยุคก่อนหน้า
     จากการขุดค้นทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากร ทำให้เรารู้ว่า ปราสาทหินพนมวันสร้างขึ้นเป็นจนเป็นยอดปราสาทโดยสมบูรณ์ แต่ก็พังทลายแบบถล่มลงมาอย่างรุนแรง ทำให้ชิ้นส่วนรูปสลักที่มีอยู่ไม่มากนักกระทบกันจนแตกหัก เรือนยอดปราสาทแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กจนยากที่จะซ่อม หน้าบันก็มีหลงเหลือจนเกือบครบทุกด้าน มีทั้งที่ยังไม่เริ่มแกะสลักไปจนถึงแกะสลักเสร็จแล้ว
         เรือนปราสาทที่พังถล่มลง และชิ้นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมทั้งหมด ถูกนำมาเรียงไว้บริเวณลานด้านนอกทางทิศตะวันตก  มีบัวกลุ่มยอดปราสาทที่สมบูรณ์สวยงามรวมทั้งเครื่องประดับ เครื่องบน รูปสลักเชิงชาย หน้าบันและร่องรอยชิ้นส่วนศิลปกรรม ส่วนที่สลักไว้ก็สวยงามจริง ๆ ส่วนที่จะไม่สลักก็ไม่แกะสลักเอาเลย สร้างแบบค้าง ๆ คาเอาไว้ !!!
      ชาวบ้านในเขตท้องถิ่นโคราช  มีเรื่องเล่าหรือนิทานท้องถิ่น (Folk Tale) ที่เล่าถึงความไม่สมบูรณ์ของปราสาทหินพนมวันไว้ว่า
     "....เมื่อกาลครั้งหนึ่ง ที่ผู้ชายกับผู้หญิงเริ่มมีความบาดหมาง ไม่เข้าใจและทะเลาะกันบ่อยครั้ง ความรักเริ่มห่างหาย เพราะเหตุด้วยผู้ชายชอบวางอำนาจ ทำตัวเป็นเจ้านาย ถือว่าตัวมีร่างกายกำยำและกำลังที่แข็งแรงกว่า
        เหล่าผู้หญิงเลยมารวมตัวปรึกษากัน ครั้นจะลงโทษไม่ให้ฝ่ายชายเข้าบ้าน ไม่ให้ร่วมหลับนอนด้วยก็กลัวว่าจะถูกใช้กำลังบังคับ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มี พ.ร.บ.ข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตัวเองโดยไม่ยินยอม ก็อาจจะพลาดท่าเสียทีได้
      ครั้นจะไม่ยอมทำอาหารให้ ผู้ชายก็คงหากินได้เอง  ไอ้ที่เดือดร้อนก็เห็นจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะพาลเดือดร้อนไปด้วย
      เมื่ออดรนทนไม่ไหว จึงประกาศขอประลองกำลัง ท้าทายฝ่ายชายด้วยการแข่งขันสร้าง "ปราสาทหิน"
       ฝ่ายชายก็รับคำท้า โดยสัญญาถ้าหากฝ่ายชายของตนพ่ายแพ้ ก็จะยอมเป็นเบี้ยล่างให้เหมือนวัวควาย แต่ถ้าหากฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแพ้ ก็จะต้องเป็นนางทาสประจำบ้านไปตลอดกาล (ซึ่งปกติก็คล้าย ๆ อยู่แล้ว)
       ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ถ้าฝ่ายใดสร้างปราสาทหินเสร็จก่อน ก็จะต้องส่งสัญญาณโดยปล่อยโคมโลมขึ้นสู่ท้องฟ้าให้อีกฝ่ายเห็น
       ฝ่ายหญิงก็รู้ตัวดีว่า ศึกประลองกับชายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จึงขอไปสร้างปราสาทในที่ไกลบ้าน โดยอ้างว่า ถ้าผู้ชายอยู่ใกล้จะทำให้เสียเปรียบ เพราะจะได้ยินคำนินทาว่าร้าย ถากถางว่าร้าย พาลทำให้เสียกำลังใจ !!! 
        ฝ่ายชายก็ตกลงเป็นมั่นเหมาะ เพราะก็คงอยากจะรีบแข่งขันให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว จะได้มีข้าทาสคนใหม่มาใช้ให้หนำใจ
       ฝ่ายหญิงจึงรวมตัวกันทั้งหมู่บ้านเดินทางไปยังเมืองพิมาย แล้วก็เริ่มสร้างปราสาทหินพิมายขึ้นอย่างใหญ่โต
        ฝ่ายชายที่อยู่ในหมู่บ้านก็เร่งสร้างปราสาทหินพนมวันที่มีขนาดเล็ก เพราะไม่รู้จะสร้างใหญ่ไปทำไม ไม่ได้ตกลงเรื่องขนาดก็เอาไว้นี่หว่า เพียงยกแรกฝ่ายชายก็เป็นต่อหลายขุม เพราะผู้หญิงทำอะไรคิดมาก ชอบคิดเล็กคิดน้อย ไม่ประมาณตัว ไม่ชอบวางแผน ปราสาทหินเลยออกมาใหญ่โต
        ฝ่ายหญิงก็ละเมียดละไมในการแกะสลัก ฝ่ายชายก็สร้างไปถมไป ก่อไปจนยอดก่อนแล้วกะว่าจะกลับมาแกะสลักทีหลัง
      จนปราสาทหินพนมวันของฝ่ายชายสร้างขึ้นไปถึงยอดและแกะสลักบัวกลุ่มยอดปราสาทให้สวยงามเป็นอันดับแรก เพื่อประกาศศักดาข่มขวัญ ซึ่งก็ได้ผล ฝ่ายหญิงเห็นยอดปราสาทก่อขึ้นมาก็ให้ตกใจ เสียขวัญกันใหญ่ ก็ผู้ชายเขาร่วมมือร่วมใจกัน งานนี้ฝ่ายหญิงเราเสร็จแน่ ๆ
       แต่ในหมู่ของสตรีก็มีสติปัญญาเป็นอาวุธที่สำคัญ พวกเธอจึงปรึกษากันว่า เราพลาดมากันแล้วที่ก่อปราสาทใหญ่จนเกินไป ฝ่ายชายอีกไม่กี่วันก็คงจะสร้างเสร็จ จึงคิดออกอุบาย สร้างโครงไม้ขึ้นเป็นยอดปราสาท ห่อหุ้มด้วยผ้าขาว ทำให้ปราสาทหินพิมายมีสีขาวเด่น มองเห็นได้มาแต่ไกล แล้วจึงให้ปล่อยโคมลอยขึ้นท้องฟ้าในค่ำคืนนั้น รวมทั้งจัดงานเฉลิมฉลอง เต้นรำส่งเสียงกันเป็นที่สนุกสนานเพื่อให้ดูสมจริงสมจัง
       ฝ่ายชายเห็นโคมลอย ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงส่งหนุ่มน้อยหน้ามนตร์มาเป็นสปาย แอบไปดูว่าฝ่ายหญิงว่าสร้างปราสาทเสร็จจริงแล้วหรือ ชายหนุ่มก็แอบล่องเรือขึ้นมา แล้วจึงถือโอกาสแวะมาหาคนรักที่ต้องแยกกัน เพราะต่างต้องมาช่วยฝ่ายของตัวเองในการแข่งขัน !!!
        หนุ่มมาเจอสาวเป็นยาม จึงเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความคิดถึง หันไปเห็นปราสาทขาวแต่ไกล  ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ แต่สาวเจ้าผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ  ก็ได้โปรยพิศวาสและโอ้โลมรักให้หนุ่มคนรัก เพื่อให้เชื่อสนิทใจว่า ปราสาทของฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วจริง ๆ
        เมื่อความรักมันยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขัน หนุ่มน้อยจึงเดินทางกลับมายังหมู่บ้านแล้วแจ้งข่าวกับหัวหน้าฝ่ายชายว่า ปราสาทฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วตามที่ให้สัญญาณโคมลอยมาทุกประการ
        หัวหน้าฝ่ายชายและทีมงานช่างผู้เข้มแข็ง ก็ให้รันทด มือไม้อ่อนแรงลงเพราะพ่ายแพ้ต่ออิสตรี  จึงหันไปหาไหเหล้า"อุสาโท"มาดื่มเพื่อย้อมใจ ไหน ๆ ก็จะกลายเป็นขี้ข้าภรรยาตัวเองตามที่ลั่นสัจจะวาจาไว้ ศักดิ์ศรีและความทรนงแห่งความเป็นชายหายไปจนสิ้นแล้ว ฮือ ๆ
        บางคนก็ยังคงแกะสลักต่อ แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็หยุดสร้างและไม่อยากจะแกะสลักต่อไปอีกแล้ว บางคนก็เลยประชดด้วยการไปรื้อหินส่วนที่สร้างขึ้นไปแล้วลงมา ไหน ๆ ก็แพ้แล้วนี่หว่า
        หนุ่มน้อยก็พาเพื่อนหนุ่มทั้งหลายไปที่เมืองพิมาย เพื่อแจ้งข่าวการยอมแพ้ แต่เมื่อไปถึง ก็พบว่าฝ่ายหญิงก็ยังสร้างปราสาทไม่เสร็จ ในทีแรกก็คิดจะโกรธ แต่จะโกรธไปทำไม ในเมื่อคนที่เขา"รัก"ต่างก็ต้องมาตกระกำลำบาก ใช้แรงงานเพื่อสร้างปราสาทขนาดใหญ่ แข่งขันประลองเพียงเพื่อต้องการให้ชายรู้สำนึกว่า ควรจะให้เกียรติ ดูแลทะนุถนอม เอาใจใส่พวกเธอบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายไม่อยากจะทำ แต่ก็คงหลงลืมไปบ้าง หลังจากได้อยู่กินเป็นผัวเมียจนเคยตัว
        ชายหนุ่มทั้งหลาย ก็เลยตัดสินใจลงมือช่วยฝ่ายหญิงให้สร้างปราสาทหินพิมายจนสำเร็จสะเด็ดน้ำ กลายเป็นปราสาทที่มีลวดลายแกะสลักที่งดงาม เป็นดั่งอนุสรณ์สถานแห่งความรักและความเข้าใจที่กลับคืนมาของหญิงและชาย
       ในขณะที่ปราสาทหินพนมวัน ไร้ร้างและไม่สมบูรณ์ ดั่งอดีตของความขัดแย้งเพราะไม่เข้าใจกัน ซึ่งจะไม่มีทางสมบูรณ์เลย หากทั้งสองฝ่ายไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน ยอมได้ก็ควรยอม
        ผู้ชายบ้านพนมวันจึงยอมรับ ไม่โกรธเคืองอุบายของฝ่ายหญิง ที่ทำไปเพราะอยากจะสอนให้พวกเขาเป็นชายสมชาย และที่สำคัญ ความคิดถึงเมื่อยามต้องห่างไกลกันของทั้งสองฝ่าย ก็ได้ละลายความบาดหมางที่มีอยู่มลายหายไปจนสิ้น
        เพราะเหตุหญิงชายต่างได้หยุดสร้างความไม่เข้าใจกันลงได้ ปราสาทหินพนมวันจึงหยุดสร้างและไม่เคยสร้างต่อ นับแต่วันที่ "ความรัก" ได้กลับคืนมา.....สู่บ้านพนมวันในครั้งนั้น....!!!  





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปราสาทละลมทม

ปราสาทจังเกา หรือ พระธาตุจังเกา

ปราสาทบ้านเบญจ์